การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาเชิงเทคนิค (Technical SEO) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณไม่มีการทำงานที่เหมาะสมในด้านเทคนิค คุณอาจสูญเสียทราฟฟิกและรายได้ที่เป็นไปได้
ในบทความนี้ เราจะนำเสนอเช็กลิสต์สำหรับการตั้งค่าทางเทคนิคที่เหมาะสม รวมถึงเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับ SEO เชิงเทคนิค
Technical SEO คืออะไร
Technical SEO คือการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับอัลกอริธึมของ Google โดยเป็นกระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาที่เน้นการปรับปรุงกระบวนการรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนีของเว็บไซต์
การเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาเชิงเทคนิคประกอบด้วยการปรับโครงสร้างเว็บไซต์, การตั้งค่าแท็กชื่อเรื่อง, คำอธิบายเมตา, แท็กส่วนหัว และเนื้อหา เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหารวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ได้รวดเร็ว
Technical SEO ยังหมายถึงการสร้าง XML Sitemap การส่งไปยัง Google Search Console และการแก้ไขปัญหาหรือข้อผิดพลาดที่อาจขัดขวางการเข้าถึงหรือการจัดอันดับเว็บไซต์ของเครื่องมือค้นหา
แม้ในช่วงแรกอาจดูซับซ้อน แต่มีแหล่งข้อมูลมากมายที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น
เช็กลิสต์ 8 ข้อสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาเชิงเทคนิค (Technical SEO)
หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จในด้าน Technical SEO คุณต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคอย่างเหมาะสม
การโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็วเป็นลักษณะของเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิค มันคือเมื่อเว็บไซต์โหลดได้เร็วและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้เยี่ยมชม ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ที่ดี นอกจากจะเร็วแล้ว เว็บไซต์ยังควรจะใช้งานง่ายและดูสวยงาม ทุกปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ
1. การโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว
หลายปัจจัยที่มีส่วนช่วยในการโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือการใช้แคช ซึ่งช่วยเก็บข้อมูลที่เข้าถึงบ่อยเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว อีกปัจจัยหนึ่งคือการปรับแต่งโค้ดให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เว็บไซต์ที่ออกแบบดีจะพิจารณาถึงปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอื่นๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่รวดเร็วและราบรื่นให้กับผู้เยี่ยมชม
การโหลดหน้าเว็บที่รวดเร็วเป็นเพียงหนึ่งส่วนของเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อออกแบบและสร้างเว็บไซต์ การปรับแต่งความเร็วหน้าเว็บสามารถช่วยให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่ดีและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้งานอีกครั้ง
นี่คือสิ่งที่คุณสามารถทำเพื่อให้หน้าเว็บของคุณโหลดเร็วขึ้น:
- ใช้เครือข่ายการจัดส่งเนื้อหา (CDN): CDN จะเก็บข้อมูลของคุณไว้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ของคุณ ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้เร็วขึ้นทุกที่
- ปรับแต่งภาพของคุณ: บีบอัดภาพก่อนอัปโหลด เนื่องจากภาพขนาดใหญ่สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณช้าลง
- ลดโค้ดของคุณ: โค้ดที่มากเกินไปอาจทำให้เว็บไซต์ช้าและทำให้เครื่องมือค้นหาตรวจสอบได้ยาก ใช้เทคนิคการลดขนาด CSS และ JavaScript เพื่อลดปริมาณโค้ดในหน้าของคุณ
- ใช้ปลั๊กอินแคช: ปลั๊กอินแคชสามารถช่วยปรับปรุงเวลาในการโหลดเนื่องจากมันสร้างเวอร์ชันคงที่ของเว็บไซต์ของคุณ
2. ข้อมูลที่มีโครงสร้างดี
เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดีเป็นรากฐานของการมีตัวตนออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากโค้ดของเว็บไซต์จะถูกจัดระเบียบและกระชับ นอกจากนี้ เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดีจะโหลดได้เร็วขึ้นและตอบสนองได้ดีต่อผู้ใช้
เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดีจะมีข้อมูลที่มีโครงสร้างดี โค้ดของเว็บไซต์จะถูกจัดระเบียบอย่างดีและอ่านง่าย การใช้ข้อมูลที่มีโครงสร้างจะทำให้เครื่องมือค้นหาสามารถดัชนีเนื้อหาของเว็บไซต์และจัดอันดับได้ดีในผลการค้นหา
เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างไม่ดีอาจมีผลเสีย เช่น การมองเห็นในเครื่องมือค้นหาที่ลดลง ประสิทธิภาพที่ลดลง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้น เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างดีจะช่วยประหยัดเวลาและเงินในระยะยาว
3. หน้าเว็บสามารถถูกดึงข้อมูลได้
ลักษณะสำคัญของเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคคือหน้าของเว็บไซต์สามารถถูกดึงข้อมูลได้ ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและอ่านเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ง่าย หากหน้าเว็บของคุณไม่สามารถถูกดึงข้อมูลได้ เครื่องมือค้นหาจะหาข้อมูลและดัชนีเนื้อหาของคุณได้ยาก ซึ่งจะทำให้การจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาลดลง
คุณต้องมั่นใจว่าโค้ดของเว็บไซต์คุณสะอาดและมีระเบียบเพื่อให้สามารถดึงข้อมูลได้ นอกจากนี้ คุณยังต้องใช้แท็ก HTML มาตรฐานและจัดรูปแบบเนื้อหาให้เข้าใจง่ายสำหรับหุ่นยนต์ของเครื่องมือค้นหา นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Flash หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ไม่สามารถถูกดึงข้อมูลได้ง่ายจากหุ่นยนต์
4. ปลอดจากปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ
เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคจะไม่มีปัญหาคอนเทนต์ซ้ำ นี่เป็นหนึ่งในลักษณะสำคัญของเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิค หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาซ้ำกัน เครื่องมือค้นหาจะดัชนีหน้าต่าง ๆ ได้ยากและจัดอันดับไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับหน้าเว็บในเครื่องมือค้นหาลดลงและปริมาณการเข้าชมลดลง คุณต้องมั่นใจว่าแต่ละหน้าของเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ไม่ซ้ำและเป็นต้นฉบับ
5. ไม่มีลิงก์เสีย
เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคจะไม่มีลิงก์เสีย หมายความว่าลิงก์ภายในทั้งหมดของเว็บไซต์ทำงานและนำไปยังจุดหมายที่ตั้งใจ การนำทางเว็บไซต์ที่ง่ายจะมีโครงสร้างและลำดับที่ชัดเจน หน้าทั้งหมดในเว็บไซต์จะหาง่าย และจะมีการไหลลำดับที่มีเหตุผลในเว็บไซต์
6. เว็บไซต์มีความปลอดภัย
เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคจะมีความปลอดภัย เว็บไซต์มีการรักษาความปลอดภัยในใจและใช้การเข้ารหัส SSL เพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้
7. มีแผนผังเว็บไซต์ XML
เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคจะมีแผนผังเว็บไซต์ XML ซึ่งช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ สามารถค้นหาและดัชนีหน้าทั้งหมดของเว็บไซต์คุณได้
8. ใช้ hreflang สำหรับเว็บไซต์ระหว่างประเทศ
ลักษณะสำคัญของเว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งทางเทคนิคคือการใช้ hreflang สำหรับเว็บไซต์ระหว่างประเทศ Hreflang บอกเครื่องมือค้นหาว่าคอนเทนต์หลายเวอร์ชันของคุณอันไหนที่เป็นของกลุ่มผู้ชมที่ตั้งใจ มันมีความสำคัญสำหรับเว็บไซต์ที่ตั้งเป้าหมายไปยังหลายประเทศหรือหลายภาษา หากไม่มี hreflang Google อาจแสดงเนื้อหาผิดให้กับผู้ใช้ของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี
เครื่องมือ SEO ทางเทคนิค
มีเครื่องมือ SEO ทางเทคนิคหลายตัวที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะตัว สำหรับการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมทางเทคนิค คุณจะต้องเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับงาน ต่อไปนี้คือเครื่องมือ SEO ทางเทคนิคยอดนิยมที่มีให้ใช้:
- Google Search Console
- PageSpeed Insights
- การทดสอบการใช้งานบนมือถือของ Google
- Chrome DevTools
Google Search Console
Google Search Console ช่วยให้คุณเข้าใจว่ากูเกิลทำการค้นหาและจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเว็บไซต์ได้
Google มอบเครื่องมือ SEO ทางเทคนิคนี้เป็นบริการฟรีที่ช่วยให้คุณติดตามและดูแลการแสดงผลของเว็บไซต์ในผลลัพธ์การค้นหาของ Google
Google Search Console สามารถช่วยคุณในหลายๆ ปัญหา SEO ทางเทคนิค เช่น:
การค้นหาและการจัดทำดัชนี: หาก Google ประสบปัญหากับการค้นหาหรือการจัดทำดัชนีเว็บไซต์ของคุณ, Search Console สามารถช่วยคุณในการแก้ปัญหานั้นได้
ข้อมูลที่มีโครงสร้าง: คุณสามารถใช้ Search Console ในการทดสอบข้อมูลในโครงสร้างเว็บไซต์และแก้ไขข้อผิดพลาดที่ Google อาจพบ
ปัญหาด้านความปลอดภัย: Search Console สามารถช่วยคุณในการระบุและแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยของเว็บไซต์
การใช้งานบนมือถือ: คุณสามารถใช้ Search Console ทดสอบการใช้งานเว็บไซต์บนมือถือและแก้ไขข้อผิดพลาดที่ Google อาจพบ
PageSpeed Insights
PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือ SEO ทางเทคนิคที่วิเคราะห์เนื้อหาของหน้าเว็บและให้คำแนะนำเพื่อทำให้หน้านั้นโหลดเร็วขึ้น ด้วยเหตุผลสองประการที่ Google เชื่อว่า ความเร็วของเว็บไซต์สำคัญ: ผู้ใช้งานมีแนวโน้มที่จะไม่ทิ้งหน้าที่โหลดช้า และเครื่องมือค้นหามีแนวโน้มที่จะจัดอันดับหน้าเว็บที่โหลดเร็วกว่า
มีหลายวิธีที่ PageSpeed Insights สามารถช่วยใน SEO ทางเทคนิคได้
ประการแรกมันสามารถช่วยระบุพื้นที่ที่เว็บไซต์โหลดช้าเนื่องจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงภาพที่มีขนาดใหญ่, โค้ดที่ไม่เหมาะสม, และสคริปต์จากบุคคลที่สาม เมื่อระบุปัญหาพวกนี้แล้ว คุณสามารถแก้ไขเพื่อเพิ่มความเร็วโดยรวมของเว็บไซต์
ประการที่สอง, PageSpeed Insights ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ คำแนะนำเหล่านี้จะมีพื้นฐานจากปัจจัยบางประการ รวมถึงการแคชเบราว์เซอร์, การแก้ไข, และการบีบอัด การนำคำแนะนำเหล่านี้ไปใช้จะทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา
ประการที่สาม, PageSpeed Insights ช่วยปรับปรุงการใช้งานของเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่โหลดเร็วไม่เพียงสำคัญสำหรับเครื่องมือค้นหาเท่านั้น แต่ยังสำคัญสำหรับผู้ใช้งานด้วย หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้งานอาจคลิกออกก่อนที่หน้าเว็บจะโหลดเสร็จ เมื่อปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์แล้ว ผู้ใช้งานจะมีแนวโน้มที่จะอยู่ในเว็บไซต์และสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น
Google’s Mobile-Friendly Test (การทดสอบการใช้งานบนมือถือของ Google)
การทดสอบการใช้งานบนมือถือของ Google เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับ SEO ทางเทคนิค การทดสอบจะวิเคราะห์และรายงานความเหมาะสมของเว็บไซต์กับการใช้งานบนมือถือ การทดสอบนี้รวดเร็วและใช้งานง่าย เพียงใส่ URL ของหน้าเว็บในเครื่องมือทดสอบแล้ว Google จะทำส่วนที่เหลือ
การทดสอบนี้มีประโยชน์ในการทำ SEO ทางเทคนิคเพราะสามารถช่วยระบุปัญหาที่อาจทำให้ผู้ใช้งานมือถือเข้าถึงเว็บไซต์ได้ยาก เมื่อระบุปัญหาเหล่านี้แล้ว เจ้าของเว็บไซต์สามารถดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานบนมือถือให้ดีขึ้น
ปัญหาที่เครื่องมือนี้สามารถช่วยระบุได้ เช่น การใช้เนื้อหาฟลัชในเว็บไซต์ อุปกรณ์มือถือบางชนิดไม่รองรับเนื้อหาฟลัช ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งานบางคนไม่สามารถดูเนื้อหานั้นได้ หากเว็บไซต์มีเนื้อหาฟลัช เครื่องมือนี้จะแจ้งและแนะนำทางเลือกที่คุณสามารถใช้เพื่อให้ประสบการณ์บนมือถือดีขึ้น
อีกปัญหาคือ เครื่องมือสามารถระบุขนาดของหน้าที่ไม่เหมาะสมกับหน้าจอมือถือ หากขนาดหน้ามีขนาดใหญ่เกินไปหรือล็อกเกินไป มันอาจอ่านและนำทางได้ยากบนอุปกรณ์มือถือ การทดสอบจะรายงานหากหน้ามีขนาดไม่เหมาะสมและแนะนำการเปลี่ยนแปลงที่สามารถทำเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งานมือถือ
Chrome DevTools
Chrome DevTools เป็นชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาเว็บที่มีประโยชน์ใน Google Chrome คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการดีบัก ปรับแต่ง และแก้ไขปัญหาของเว็บไซต์ SEO ทางเทคนิคสามารถใช้ Chrome DevTools ในการตรวจสอบปัญหากับโค้ด การแสดงผล และประสิทธิภาพของเว็บไซต์
นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องมือ SEO ทางเทคนิคนี้ในการทดสอบการเปลี่ยนแปลงของเว็บไซต์ก่อนที่จะนำไปใช้จริง การใช้เครื่องมือนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับหรือประสิทธิภาพของเว็บไซต์
สิ่งที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างเกี่ยวกับการใช้ DevTools คือมันสามารถช่วยเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ของคุณได้ โดยการระบุองค์ประกอบที่โหลดช้าบนหน้าเว็บและทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นเพื่อปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากความเร็วเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา นอกจากนี้ ความเร็วเว็บไซต์ยังสำคัญสำหรับประสบการณ์ของผู้ใช้งานอีกด้วย การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มทั้งการจัดอันดับและประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
บทสรุป
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นที่ปัจจัย SEO “On-Page” เช่น การปรับคำหลักและการตลาดเนื้อหา แต่กลยุทธ์ SEO ทางเทคนิคก็สำคัญไม่น้อยสำหรับการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงในผลลัพธ์การค้นหา
หากเว็บไซต์ของคุณไม่ได้รับการปรับแต่งอย่างดี ความพยายามในการทำ SEO บนหน้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า