ในยุคที่ทุกอย่างไปอยู่บนโลกออนไลน์ การขายของผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซก็กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่หลายคนที่เปิดร้านออนไลน์กลับพบปัญหาใหญ่คือ “สินค้าก็เยอะ แต่ทำไมไม่มีคนเห็น?” หรือ “ทำไมยอดขายไม่ขยับเลยทั้งที่ตั้งใจทำสุดๆ?” หนึ่งในคำตอบสำคัญก็คือการทำ SEO นั่นเอง

SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับระบบค้นหาอย่าง Google เพื่อให้ร้านค้าของคุณแสดงอยู่ในหน้าแรกเวลาใครค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องของใส่คีย์เวิร์ด แต่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการจัดโครงสร้างเว็บไซต์ การเขียนเนื้อหา และการจัดการสินค้าให้เป็นมิตรกับระบบค้นหา

ทำไมร้านค้าออนไลน์ต้องทำ SEO?

เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เริ่มต้นจาก Google การทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหาแบบออร์แกนิก โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแบบ PPC (Pay-per-click) ซึ่งในระยะยาวจะคุ้มค่ากว่าอย่างมาก นอกจากนี้ SEO ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เพราะลูกค้ามักไว้วางใจเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้น ๆ มากกว่าผลลัพธ์ที่เป็นโฆษณา

อ้างอิง: Ahrefs – Why SEO is Important

คำค้นหายอดนิยมที่เจ้าของร้านค้าออนไลน์มักจะใช้ค้นหาเกี่ยวกับ SEO

เมื่อเราศึกษาพฤติกรรมของเจ้าของร้านค้าในไทย พบว่าคำค้นหาต่อไปนี้ได้รับความนิยมและเหมาะกับการนำไปใช้ในบทความ SEO หรือแผนการตลาด:

คำค้นความนิยมแนวทางใช้งาน
ขายของออนไลน์สูงใช้เป็นหัวเรื่องในบทความ เช่น “เริ่มต้นขายของออนไลน์ยังไงดี?”
วิธีขายของออนไลน์สูงเหมาะกับบทความ How-to, คู่มือ Step-by-step
ติดหน้าแรก Googleสูงใช้ในบทความเกี่ยวกับเทคนิค SEO
ทำ SEO ร้านค้าออนไลน์กลางใช้สื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น เจ้าของร้านที่ไม่มีพื้นฐานเทคนิคมาก
เพิ่มยอดขายออนไลน์กลางใช้ในบทความที่แสดงผลลัพธ์การทำ SEO หรือกรณีศึกษา
บริหารร้านค้าออนไลน์กลางเหมาะกับบทความที่เกี่ยวกับระบบจัดการสต็อกหรือคำสั่งซื้อ
อีคอมเมิร์ซ (E-commerce)กลางใช้ในบทความเชิงลึกหรือภาพรวม

จากคำค้นเหล่านี้ คุณสามารถนำไปต่อยอดเป็นหัวข้อ Blog หรือคำหลักในเว็บไซต์ได้ทันที

แล้วถ้ามีสินค้าจำนวนมาก จะจัดการ SEO ยังไงดี?

1. ปรับแต่ง URL ให้สั้นและมีคีย์เวิร์ด

URL ที่ดีไม่ควรยาวเกินไป และควรมีคีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้อง เช่น www.example.com/เสื้อยืด-ผู้ชาย ซึ่งจะช่วยให้ระบบค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น การใช้โครงสร้าง URL ที่เรียบง่ายและสื่อความหมายเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะเมื่อมีสินค้าหลายร้อยรายการ

2. เขียนคำอธิบายสินค้าไม่ให้ซ้ำกัน

Google ไม่ชอบเนื้อหาซ้ำ การคัดลอกคำอธิบายจากผู้ผลิตหรือจากสินค้าชิ้นอื่นในเว็บเดียวกันอาจทำให้อันดับลดลง การเขียนคำอธิบายให้ไม่ซ้ำกัน และใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มคะแนน SEO ได้มาก

3. ใช้ Schema Markup สำหรับสินค้า

Schema Markup เป็นโค้ดที่ช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างข้อมูลของสินค้า เช่น ชื่อ ราคา คะแนนรีวิว และสถานะสินค้า การใช้ Schema ช่วยเพิ่มโอกาสที่สินค้าจะแสดงในรูปแบบ Rich Snippets ซึ่งช่วยเพิ่ม CTR (Click-Through Rate) ได้มาก

4. ปรับแต่ง Meta Title และ Description

แต่ละหน้าสินค้าควรมี Title และ Meta Description ที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความหลากหลายในผลการค้นหา ควรใส่คำหลัก, จุดขายหลักของสินค้า และใช้ภาษาที่ดึงดูดให้คลิก เช่น “เสื้อยืดแฟชั่นชาย ราคาถูก ผ้าดี ใส่สบาย | ร้าน ABC”

5. วางโครงสร้างเว็บไซต์ให้ดี (Site Structure)

โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ Google และลูกค้าค้นหาสินค้าได้ง่าย เช่น การใช้หมวดหมู่หลัก-ย่อยอย่างชัดเจน เช่น เสื้อผ้า > เสื้อยืด > เสื้อยืดผู้ชาย และมี Breadcrumb Navigation เพื่อช่วยนำทางและส่งสัญญาณเชิงโครงสร้างให้กับ Google

6. เพิ่มลิงก์ภายใน (Internal Linking)

การเชื่อมโยงหน้าสินค้าเข้ากับหมวดหมู่ บทความ หรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง ช่วยกระจาย Page Authority และทำให้ผู้ใช้อยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น เช่น ในหน้าสินค้า “เสื้อยืดดำ” อาจลิงก์ไปยังบทความ “วิธีเลือกเสื้อยืดให้เหมาะกับรูปร่าง”

7. ทำให้เว็บไซต์รองรับมือถือ (Mobile-Friendly)

กว่า 70% ของผู้ใช้งานเข้าชมผ่านมือถือ Google ให้ความสำคัญกับ Mobile-First Indexing ดังนั้นเว็บที่ไม่ Responsive จะถูกจัดอันดับต่ำลง นอกจากนี้ควรตรวจสอบความเร็วการโหลดบนมือถือด้วยเครื่องมือ PageSpeed Insights

8. เพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ

รูปภาพควรตั้งชื่อให้สื่อความหมาย (เช่น shirt-black.jpg), ใช้ alt-text และบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็กแต่ยังคงความคมชัด วิธีนี้ไม่เพียงช่วย SEO แต่ยังทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อประสบการณ์ของผู้ใช้

สรุป

การทำ SEO สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มีสินค้าจำนวนมากไม่ใช่เรื่องยาก หากมีการวางแผนและจัดการอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะการปรับแต่งรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น คำอธิบายสินค้า, URL, รูปภาพ และการเชื่อมโยงภายใน ก็สามารถทำให้เว็บของคุณไต่อันดับขึ้นมาได้เรื่อย ๆ

ในระยะยาว SEO เป็นการลงทุนที่สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ทั้งในแง่ของยอดขาย และการสร้างแบรนด์ ถ้าคุณเริ่มต้นตอนนี้ ปรับแค่วันละเล็กละน้อย ในไม่ช้าคุณจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนแน่นอน

หากคุณต้องการคำแนะนำเฉพาะ หรืออยากให้ช่วยตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณว่าเหมาะกับ SEO แค่ไหน ก็สามารถติดต่อเราได้ที่นี่!